Kindconnext : ชวนสำรวจโลกหลังฉากนิทาน

เข้าไปอ่านบทความได้ที่นี่ครับ Kindconnext

ขอบคุณบทความจาก Kindconnext ครับ

------------------------------------------------





ชวนสำรวจโลกหลังฉากนิทาน กับ ‘พี่อ้อย-พี่บอมบ์’ แห่ง 𝘓𝘪𝘵𝘵𝘭𝘦𝘣𝘭𝘢𝘤𝘬𝘰𝘻 𝘚𝘵𝘶𝘥𝘪𝘰

‘กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…’ ประโยคเปิดเรื่องสุดคลาสสิกในนิทานที่หลายคนคุ้นเคยกันดี ประตูบานเล็ก ๆ ที่เชื้อเชิญให้เราเดินทางเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการอันไร้ขอบเขต ซึ่งเบื้องหลังของนิทานเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงแค่จินตนาการ แต่ยังมีหัวใจของคนทำงานซ่อนอยู่ในทุกหน้ากระดาษ ก่อนที่ตัวละครจะมีชื่อ ก่อนฉากปราสาทจะตั้งตระหง่าน หรือทุ่งดอกไม้จะบานสะพรั่ง ทุกอย่างเริ่มต้นมาจากมุมเล็ก ๆ ในสตูดิโอ ที่ซึ่งทุกเส้นสาย สีสัน และตัวอักษร ถูกถักทอขึ้นด้วยหัวใจ


Kind ชวนคุณสัมผัสโลกเบื้องหลังฉากนิทานภาพไปกับ ‘พี่อ้อย-วชิราวรรณ ทับเสือ’ และ ‘พี่บอมบ์-กฤษณะ กาญจนาภา’ นักเขียนและนักวาดภาพประกอบแห่ง Littleblackoz Studio ผู้เนรมิตจักรวาลแห่งนิทานภาพให้โลดแล่นในจินตนาการของเด็ก ๆ รวมถึงผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ด้วย
__



𝟬𝟭 — เติบโตมากับนิทานเรื่องไหน
บ่ายสองโมงตรง เราเดินทางมาถึงจุดหมาย ณ สตูดิโอ Littleblackoz แห่งจินตนาการของพี่อ้อยและพี่บอมบ์ ที่ทุกมุมเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความคิดสร้างสรรค์ และร่องรอยของแรงบันดาลใจที่ถูกเก็บสะสมไว้หลายขวบปี ขณะกวาดสายตามองหนังสือรอบห้อง ความสงสัยก็ก่อตัวขึ้นในใจ… “ก่อนที่พี่ ๆ จะกลายมาเป็นนักเขียนและนักวาดภาพประกอบ พวกเขาเติบโตมากับหนังสือเล่มไหนนะ?”
💬 พี่บอมบ์: “ตอนพี่เด็ก ๆ มันไม่ค่อยมีนิทานเหมือนสมัยนี้นะ ส่วนมากที่ได้อ่านก็จะเป็นพวกนิทานอีสป อย่างหมากับเงา ลูกหมูสามตัว หนูน้อยหมวกแดง หรือพวกนิทานพื้นบ้านไทยอย่างสังข์ทอง พระอภัยมณี พอโตมาหน่อยก็จะเป็นวรรณกรรมเยาวชน พวก Oliver Twist หรือ Adventures of Huckleberry Finn เพราะสมัยก่อนความบันเทิงของเด็กมันไม่มีอะไรเลย ไม่มีอินเทอร์เน็ต และความบันเทิงที่หาง่ายที่สุดคือ ‘หนังสือ’ ”
💬 พี่อ้อย: “สมัยก่อนนิทานขาย 7 บาท พี่อ้อยซื้อได้เดือนละเล่มเอง เรื่องที่ประทับใจก็จะมี อาลีบาบากับ 40 จอมโจร จำได้เลยว่ามันจะมีคำติดปากว่า Open Sesame พอโตมาหน่อยก็จะอ่านนิทานอีสปแบบพี่บอมบ์อ่าน บางครั้งพี่อ้อยก็ขโมยจากตู้หนังสือของคุณปู่ มีหนูน้อยผจญภัย นิยายไม้เมืองเดิม หนูน้อยทัมเบลินา แล้วก็จะอ่านวรรณกรรมเยาวชนอย่าง ‘เจ้าชายน้อย’ ถือเป็นเล่มที่เปลี่ยนวิธีคิดให้เราเติบโตมาอีกจุดหนึ่งเหมือนกัน ประโยคที่พี่ประทับใจมากในเรื่องคือ ‘เราจะเห็นทุกสิ่งได้ด้วยหัวใจเท่านั้น สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยตา’ ซึ่งแปลโดยพี่เอ๋-อริยา ไพฑูรย์”
“ส่วนเล่มที่ชอบหลังจากเข้ามาอยู่ในวงการนี้ ขอเลือกเป็นเรื่องเดียวกันเลยคือเรื่อง ‘The Crocodile and the Dentist’ หรือหมอฟันกับจระเข้ โดย Taro Gomi เป็นนิทานภาพญี่ปุ่นที่เล่าเรื่องราวของจระเข้และหมอฟัน ต่างคนต่างตื่นเต้นที่จะต้องมาเป็นคนถอนและคนถูกถอนฟัน โดยใช้ประโยคเดียวกันในการเล่า แต่เล่าคนละเหตุการณ์จากคนละฝั่ง แล้วบังเอิญคุณพ่อของพี่บอมบ์เป็นคุณหมอที่มีลักษณะเหมือนตัวละครนี้เลย เราเลยยิ่งอินขึ้นไปอีก คือมันยากที่จะคิดไดอะล็อกแบบนี้ในหนังสือนิทาน”





__


𝟬𝟮 — การเดินทางของ Littleblackoz
จากจุดเริ่มต้นในวันนั้นจนถึงวันนี้ นับเป็นเวลากว่าสองทศวรรษแล้วที่พี่อ้อยและพี่บอมบ์คร่ำหวอดอยู่ในวงการหนังสือนิทานเด็ก เราจึงให้พี่ ๆ เล่าแบบกระชับย่นย่อพอสังเขปว่า การเดินทางของ Littleblackoz Studio นั้นผ่านอะไรมาบ้าง?
พี่บอมบ์: “จริง ๆ เราเริ่มมาจากงานโฆษณา พอเราเริ่มอิ่มตัวก็ออกมาทำกันเอง ตอนนั้นก็ยังไม่รู้หรอกว่าจะออกมาทำอะไรดี แต่ตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย พี่อ้อยเคยวาดภาพประกอบหนังสือนิทานเรื่อง ‘เค้าโมงหลบมุม’ แล้วได้รางวัล เราก็เลยคิดว่ามาทำหนังสือนิทานกันดีมั้ย ก็เลยเริ่มลงมือทำตั้งแต่นั้นมา แต่ว่าก็ยังคงทำงานโฆษณาด้วย ทำคู่กันไป เพราะช่วงแรก ๆ มันยาก คนไม่รู้จักก็จะยากนิดนึง”
พี่อ้อย: “แต่ตอนที่ทำเค้าโมงฯ ทำแค่สองอาทิตย์ แล้วก็ได้รางวัล เราเลยรู้สึกว่าทำนิทานมันเวิร์กดี ง่ายดี พอออกจากงานโฆษณามาก็ได้มาเจอพี่แต้ว-ระพีพรรณ พัฒนาเวช ได้เรียนรู้ว่านิทานมันมีอะไรบ้าง ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มเรียนรู้ว่ามันไม่ได้ง่าย พี่แต้วก็ให้กำลังใจว่าอย่าท้อนะ เราก็ทำมาเรื่อย ๆ จากตอนนั้นถึงตอนนี้ก็ 20 ปีแล้วค่ะ”
__



𝟬𝟯 — เล่ากระบวนการทำนิทานภาพสำหรับเด็กให้ฟังหน่อย
ถึงเวลาสำรวจเบื้องหลังของกระบวนการทำนิทานสักหนึ่งเล่ม ว่าเริ่มต้นจากอะไร? ตั้งแต่ไอเดียฟุ้งฝัน สู่การสร้างสรรค์ลงบนสมุดสเก็ตช์ ไปจนถึงภาพสุดท้ายที่กลายเป็นเล่มในโลกใบเล็กที่เด็กหลงรัก


พี่บอมบ์: “ยกตัวอย่างเรื่อง ‘กัปตันโกโก้’ เล่มที่เพิ่งออกมาล่าสุด พี่ได้ไอเดียมาจากหนังอิตาเลียนเรื่องหนึ่งครับ จำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร แต่เป็นภาพของผู้ชายตัวใหญ่ที่อาศัยอยู่ในป่าแถวคองโกหรือโบลิเวีย เขาทำอาชีพขายกล้วย แล้วต้องขนกล้วยใส่เรือเข้าไปขายในเมือง แต่มีปัญหาตรงที่ไม่มีใบอนุญาต เลยต้องออกผจญภัยเพื่อต่อใบอนุญาต ผมประทับใจภาพเรือขนกล้วยจนรู้สึกว่าอยากทำเป็นหนังสือสักวันหนึ่ง ตอนนั้นยังคิดเรื่องไม่ออกเลยเก็บไว้เป็นตุ๊กตาตั้งต้น จนมาวันนี้เราเลยลองหยิบกลับมาต่อยอดดูอีกครั้ง”


พี่อ้อย: “จากนั้นเราก็เริ่มสร้างที่มาที่ไปของตัวละคร เลยแต่งภูมิหลังให้ว่า ตอนเด็กเขาถูกทอดทิ้งเพราะเกิดมาเป็นกอริลลาสีน้ำเงิน ไม่เหมือนตัวอื่น ๆ และต้องเติบโตมากับคุณปู่จระเข้ ซึ่งเป็นกัปตันเรือ เขาเลยกลายเป็นตัวละครที่ไม่อยากสุงสิงกับใครเพราะกลัวจะถูกทิ้งอีก ไอเดียนี้ได้แรงบันดาลใจเพิ่มเติมมาจากข่าวที่พี่อ้อยเคยเห็น เป็นเรื่องของกอริลลากำพร้าที่ถูกทิ้งไว้ในโมซัมบิก เลยหยิบมาเชื่อมโยงกับเรื่องนี้ เพื่อให้ตัวละครมีแบ็กกราวนด์ที่ชัดและลึกขึ้น พอได้เรื่องเรียบร้อย เราก็นำไปเสนอให้บรรณาธิการ โดยเตรียมสตอรี่บอร์ดและภาพสเก็ตช์คร่าว ๆ ไปพรีเซนต์ ว่าเรื่องราวจะเป็นแนวไหน คาแรกเตอร์ประมาณไหน”

พี่บอมบ์: “ต่อไปก็เป็นการขึ้นสเก็ตช์และลงสีครับ เล่มนี้พี่ลงสีในคอมเพื่อช่วยในเรื่องเวลา เพราะถ้าเขียนสีน้ำจะกินเวลามาก ซึ่งเราสองคนชอบแก้บ่อย ต้นทุนจะสูงมาก ทำไปแก้ไป หลังจากส่งเนื้อหาต้นฉบับก็เริ่มทำปก เนื้อใน ส่งให้บรรณาธิการตรวจ ซึ่งบางจุดก็จะมีแก้กลับมา จากนั้นก็เข้าสู่ขั้นตอนปรู๊ฟคำและภาพ อ้อยก็จะช่วยเสนอไอเดีย ช่วยดูว่าตรงไหนเวิร์ก ตรงไหนยังไม่เข้าใจ แล้วเราก็จะปรับกันไปมา บางทีบรรณาธิการยังไม่ได้สั่งแก้ เราก็แก้กันเองจนเขาบอกว่า ‘พอแล้ว ยังไม่ได้ให้แก้เลย’ (หัวเราะ) เพราะตอนสเก็ตช์กับลงสี ความรู้สึกมันไม่เหมือนกัน เราเลยอยากทำให้มันตรงใจที่สุดก่อนส่งพิมพ์”
__



𝟬𝟰 — เรื่องราวส่วนใหญ่ในนิทานได้แรงบันดาลใจมาจากไหน
ก่อนที่นิทานจะกลายเป็นเรื่องเล่าแสนมหัศจรรย์สำหรับเด็ก ๆ หลายเรื่องมีจุดเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ ที่ประทับใจในชีวิตประจำวัน และหลายครั้งแรงบันดาลใจก็ซ่อนอยู่ในความเรียบง่ายธรรมดา

พี่บอมบ์: “ผมมองอะไรก็เป็นนิทานไปหมด อะไรที่เรารู้สึกใกล้หัวใจเราตอนนั้น อย่างนิทานเรื่อง ‘ขึ้นอย่างไรนะ’ กับ ‘ลงอย่างไรนะ’ เรื่องราวเกิดขึ้นตอนผมกำลังเดินเล่นตรงสวนหลังบ้าน ตอนนั้นมีนกมาทำรังและเริ่มหัดบินวนอยู่ วันหนึ่งขณะที่ผมเดินเอาขยะไปทิ้ง มีลูกนกตัวหนึ่งบินมาเกาะที่หน้าอกของผมเหมือนมาแวะพักเหนื่อย สักพักก็บินต่อ แต่ดันบินออกไปกลางถนน ผมกลัวว่ารถขยะจะทับก็ต้องหาผ้าไปจับทำเอาวุ่นวายเป็นเรื่องเป็นราว เราก็เก็บเป็นไอเดียไว้ ส่วนอีกเรื่องคือมีแมวดำหลงมาที่บ้าน ปัจจุบันกลายเป็นลูกชายชื่อโรนิน อ้อยก็พาเดินไต่ขึ้นต้นไม้ พอไต่ขึ้นไปแล้วลงไม่ได้ก็ต้องอุ้มลงมา แล้วก็ชอบขึ้นอยู่อย่างนั้นแต่ลงไม่ได้ พออมรินทร์ติดต่อมาว่ามีหนังสืออะไรมั้ย เราเลยเสนอไปว่า ตอนนี้มีไอเดีย 2 เรื่องคือ ‘ขึ้นอย่างไรนะ’ กับ ‘ลงอย่างไรนะ’ ”
__


𝟬𝟱 — เทคนิคการลงสีเลือกจากอะไร

ไม่ว่าจะเป็นสีน้ำสดใส สีชอล์กเนื้อด้าน หรือการลงสีในคอมพิวเตอร์ งานของพี่อ้อยและพี่บอมบ์สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของเทคนิคอย่างชัดเจน แล้ววิธีการเลือกใช้เทคนิคแต่ละแบบขึ้นอยู่กับอะไร?

พี่อ้อย: “การเลือกเทคนิคลงสีก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยค่ะ ทั้งเรื่องเวลา ต้นทุน และเนื้อหาของเรื่อง เช่น เรื่อง ‘บาบา’ มีบรรยากาศที่เป็นป่าทึบ มืด และตื่นเต้นจึงเลือกใช้สีชอล์ก เพราะกระดาษมีพื้นสีทึบ ช่วยประหยัดเวลาในการลงสีพื้นได้ ส่วนเรื่อง ‘ขึ้นอย่างไรนะ’ กับ ‘ลงอย่างไรนะ’ ใช้สีน้ำ เพราะเนื้อเรื่องมีความเบาสบาย สำหรับเรื่อง ‘กัปตันโกโก้’ มีรายละเอียดเยอะมาก และเวลาในการทำงานค่อนข้างจำกัด จึงเลือกใช้การลงสีในคอมพิวเตอร์”
__


𝟬𝟲 — จุดยืนของหนังสือนิทานเล่มในยุคดิจิทัล
ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างเชื่อมต่อผ่านหน้าจอ หลายคนอาจสงสัยว่าหนังสือนิทานเล่มยังมีที่ยืนหรือไม่? คำตอบคือ ‘มี’ เพราะหนังสือเล่มยังคงมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่เทคโนโลยีแทนไม่ได้


พี่บอมบ์: “มีคนเคยถามคำถามนี้เมื่อ 10 ปีได้ ว่าหนังสือมันกำลังจะตายแล้วนะพี่ ตอนนั้นที่ไอแพด คอมฯ แพลตฟอร์มออนไลน์กำลังเข้ามาใหม่ ๆ พี่ก็บอกว่าไม่เป็นไรมันเป็นแค่แพลตฟอร์ม แต่เรื่องราวจะยังอยู่ จนผ่านมาทุกวันนี้หนังสือก็ยังอยู่ครับ เพราะหนังสือสัมผัสได้และให้ความรู้สึกที่อบอุ่น อันนี้ไม่ใช่ผมพูดนะ เด็ก ๆ เขาพูดมาว่า เวลาเขาจับหนังสือแล้วเขามีความรู้สึก มันมีตัวตน สัมผัสได้ เปิดได้ เขาเลยชอบอ่านหนังสือ ทุกวันนี้เด็กหลายคนก็กลับมาอ่านหนังสือกัน”


พี่บอ้อย: “พี่อ้อยได้คำแนะนำจากคุณหมอมาด้วยว่า การอ่านจอที่เป็นแสงหรือจ้องจอนาน ๆ จะส่งผลเรื่องสุขภาพเด็ก ทำให้กล้ามเนื้อตาไม่ดี อาจเป็นโรคตาขี้เกียจ สมาธิสั้น และขาดจินตนาการ ถ้าใช้ดิจิทัลดูอย่างเดียว นักจิตวิทยาบอกว่ามันเป็นการรับอย่างเดียว สมองไม่ได้ทำงาน ทำให้พัฒนาช้า ไม่เหมือนเด็กที่อ่านหนังสือ เพราะหนังสือมันไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ มันไม่ใช่ภาพเคลื่อนไหว เด็กต้องอ่าน ต้องดู ต้องตีความ นี่คือภาพอะไร เขาทำท่าอะไรอยู่ ทำให้ได้ใช้สมองคิดตลอด เด็กก็จะมีวิวัฒนาการทางสมองมากกว่า”
__


𝟬𝟳 — แล้วนิทานมันพูดเรื่องยาก ๆ ได้มากแค่ไหน
หนังสือนิทานเด็กมักถูกมองว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ เบา ๆ แต่ความจริงแล้ว นิทานมีศักยภาพมากกว่านั้น สามารถสื่อสารเรื่องใหญ่ เรื่องลึก หรือแม้แต่เรื่องยาก ๆ ได้เช่นกัน แต่อยู่ที่ว่าจะเล่าอย่างไรต่างหาก


พี่บอมบ์: “พูดได้ทุกเรื่อง แต่คนพูดต้องมีศักยภาพพอกับเรื่องที่เขาจะพูด ยิ่งเล่าเรื่องยาก ๆ คนทำยิ่งต้องเก่ง ถ้าคนที่ไม่เชี่ยวชาญไปทำ สิ่งที่คุณสื่อมันอาจจะไม่ถูกต้อง มันอาจจะเป็นการยัดใส่หัวเด็กไปดื้อ ๆ สมมติผมทำสัญลักษณ์ว่าดาวคือความดีใส่ไปในหนังสือ เด็กจะจำไว้เลยว่าดาวคือความดี แต่มีวันหนึ่งโจรก็ทำรูปดาวเหมือนกัน ฉะนั้นเด็กจะเข้าใจว่าโจรคือคนดี มันขึ้นอยู่กับวิธีที่คุณจะเล่าให้เด็กฟัง หนังสือยากไม่ใช่ปัญหา แต่คนทำมีความรู้พอที่จะทำหรือเปล่า หรือถ้าเรื่องไหนที่มีความอ่อนไหวมากก็ต้องคุยกับนักจิตวิทยาเด็ก ปรึกษาว่าทำได้หรือไม่”


พี่อ้อย: “เพราะฉะนั้นหนังสือที่พี่อ้อยพี่บอมบ์พยายามทำอยู่ ก็อยากจะให้มันไม่ส่งผลหรือสร้างปมทางจิตใจให้กับเด็ก คุณหมอบอกว่าพยายามทำทุกอย่างให้ชักจูงเชิงบวก ไม่ใช่ชักจูงด้วยความกลัว ถ้าเด็กได้รับการปลูกฝังเรื่องเชิงลบซ้ำ ๆ มันจะไปฝังที่สมองส่วนลึก ทำให้กลายเป็นปมด้อยและแก้ไขยากเมื่อเด็กโตขึ้น”
__


𝟬𝟴 — หนังสือนิทานมีพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคมหรือโลกยังไง
หนังสือนิทานเด็กไม่ใช่เพียงเรื่องเล่าก่อนนอน แต่อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ทั้งในตัวเด็ก ครอบครัว และสังคมโดยรวมได้เช่นกัน


พี่บอมบ์: “ผมมองว่าโลกเรา มนุษย์เราทั้งหมดไม่ได้อยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว เด็กอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่มีคุณปู่คุณย่า มีเพื่อนที่ทำงาน มีเพื่อนข้างบ้าน มีสังคม ผมมองว่าหนังสือนิทานมีส่วนสำคัญ แต่เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่จะต้องรวมกับหลาย ๆ อย่าง เพราะสุดท้ายถ้าผมหรือใครทำหนังสือแสนดีออกมา แต่พ่อแม่เด็กไม่โอเค คนในบ้านไม่โอเค มันก็ไม่เวิร์ก หนังสือคงอ่อนแรง แต่ช่วยได้มั้ย ช่วยได้ อาจจะมีส่วนเปลี่ยนโลกได้ เรามีความเชื่อว่าหนังสือนิทานเด็กจะมีส่วนช่วยได้ อย่างน้อยก็เปลี่ยนลูกเขาได้ เปลี่ยนโลกของเด็กคนหนึ่งได้”

__

𝟬𝟵 — นิทานเด็กส่งผลต่อโลกของผู้ใหญ่อย่างไร
ใครว่าหนังสือนิทานเด็กมีไว้แค่ให้เด็กอ่าน? เพราะในความเรียบง่ายของภาพและเรื่องราว กลับเต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้งกินใจสำหรับผู้อ่านทุกวัย


พี่บอมบ์: “จริง ๆ แล้วหนังสือภาพไม่ต้องมีคำว่าเด็กก็ได้ เพราะผมอ่านแล้วยังสนุกเลย ผมเลยทำหนังสือขึ้นมาให้เป็นสากลนิดนึง สากลของผมคือเด็กหรือผู้ใหญ่อ่านก็ได้ เราเรียกมันว่า Picture Book ผมไม่อยากใช้คำว่าหนังสือเด็ก ถ้านับเป็นช่วงอายุก็ 0-100 ปีไปเลย พยายามทำให้อ่านแล้วสนุก พ่อแม่ซื้อไปให้ลูกก็จริง แต่เขาต้องอ่านให้ลูกฟังใช่มั้ย ถ้าเขาอ่านแล้วชอบ หนังสือมันก็จะสนุกมากขึ้นไปอีก”
“อย่างเรื่อง ‘เที่ยวบ้านเพื่อน’ มีพ่อแม่ของเด็กบอกว่าอ่านแล้วรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็ก ได้กินข้าวบ้านเพื่อน กินขนมหน้าโรงเรียน จริง ๆ หนังสือภาพที่ดีมันอ่านได้ยันโต เพราะว่าผมเองก็ยังอ่านหนังสือหลายเล่มที่เป็นหนังสือภาพสำหรับเด็ก ผมว่ามันมีความสนุกแบบสากล”


พี่อ้อย: “พี่อ้อยมองว่ามันเหมือนกับการเสพงานศิลปะแบบพื้นฐาน อันนี้มันเสพง่าย แล้วมันจะค่อย ๆ เติบโตขึ้นเอง เราเริ่มจากหนังสือภาพสำหรับเด็กก่อน เข้าใจง่าย ดูง่าย แล้วก็จะเติบโตเป็นหนังสือภาพสูงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วแต่ความชอบ เพราะศิลปะมันเป็นเรื่องภายใน มันมอบความสุขให้คุณก็จบแล้ว ไม่ต้องไปยึดติดหรืออิงว่ามันเป็นหนังสือสำหรับเด็ก”
วันนี้เราได้เปิดประตูสู่เบื้องหลังโลกของการสร้างสรรค์นิทานภาพอย่างเต็มอิ่ม ว่ากว่านิทานหนึ่งเล่มจะเดินทางไปอยู่ในมือของเด็กคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะหัวเราะ อมยิ้ม หรือเผลอหลงรักตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง ยังมีเรื่องราวอีกมากมายซ่อนอยู่เบื้องหลัง ไม่เชื่อก็ลองหยิบขึ้นมาอ่านดูสักเล่ม แล้วคุณจะรู้ว่า... นิทานเด็กเล่มเล็ก ๆ นั้น บรรจุเรื่องราวที่ใหญ่กว่าที่คิด!

📍 ปล. หลังจบบทสนทนา พี่ ๆ พาเราเดินไปส่องเจ้า ‘โรนิน’ ที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเชิงบันไดบ้าน แมวดำขนปุกปุยแสนรักของพี่อ้อยพี่บอมบ์ เป็นหนึ่งตัวละครสำคัญในหนังสือนิทานของทั้งคู่ หากใครอยากเห็นหน้าค่าตาเลื่อนไปดูรูปในอัลบัมได้เลยนะ เหมียววว^^